9 วิธีป้องกันไม่ให้ใบหน้าแห้ง ผิวลอกเป็นขุยจนหมดสวย
ลดริ้วรอย : ผิวแห้งหรือ Xerosis นั้นเกิดจากผิวที่ขาดความชุ่มชื้นอย่างรุนแรง เนื่องจากเซลล์ผิวได้สูญเสียน้ำให้กับสภาพอากาศรอบข้าง ยิ่งถ้าอากาศหนาว แห้ง ก็ยิ่งทำให้ผิวเกิดความสูญเสียน้ำได้มากกว่าเดิม จนทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกเกิดความแตก แห้ง จนลอกออกมาเป็นขุยได้ ถ้าใครไม่อยากให้เกิดปัญหาเราหล่านี้ เรามีวิธีการป้องกันมาฝากค่ะ
สารบัญเนื้อหา
1. หลีกเลี่ยงอยู่ในสภาพอากาศที่เย็นจัด
2. อย่าล้างหน้าด้วยน้ำร้อนจัด
3. อย่าแช่อยู่ในสระว่ายน้ำที่มีสารคลอรีนนานเกินไป
4. เลือกใช้โฟมล้างหน้าหรือใช้สบู่เด็กล้างหน้า
5. อย่าขัดผิวบ่อยและแรงจนเกินไป
6. บำรุงผิวด้วยครีมบำรุงผิวอย่างเป็นประจำ
7. บำรุงผิวด้วยเซรั่ม เพื่อช่วยเก็บกักความชุ่มชื้น
8. ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อบำรุงผิวไม่ให้แห้งกร้าน
9. ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
1. หลีกเลี่ยงอยู่ในสภาพอากาศที่เย็นจัด
- อากาศหนาวเย็นมีผลต่อ การดูแลผิวหน้า ได้อย่างไร?
อากาศหนาวเย็นที่มักต้องระวังมากขึ้น เนื่องจากมีโอกาสป่วยได้ง่ายมากขึ้นด้วย เช่น โรคติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสต่างๆ หรือปัญหาผิวแห้งแตก ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) ผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน (Seborrheic dermatitis) ที่มีแน้วโน้มที่จะมีความรุนแรงขึ้น - ก่อนอื่นเราทบทวนหน้าที่ของผิวหนังสักหน่อยค่ะ
- หน้าที่สำคัญ คือ การปกป้องอวัยวะภายในใต้ชั้นผิวหนัง พร้อมกับหน้าที่อื่นๆ ดังนี้
- ป้องกันอันตราย (Protection)
จากจุลินทรีย์และสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการสูญเสียของเหลวจากในร่างกาย - ควบคุมอุณหภูมิ (Temperature regulation)
ผิวหนังมีรูเปิดจากต่อมเหงื่อ เพื่อระบายความร้อนในร่างกาย หรือกรณีที่อากาศเย็น ผิวหนังช่วยป้องกันมิให้ความร้อนออกไปจากร่างกาย - ขับถ่ายของเสีย (Excretion)
คือการขับของเสียออกมากับเหงื่อ เช่น ยูเรีย จากกระบวนการเผาผลาญพลังงาน - สังเคราะห์วิตตามิน ดี (Synthesis)
ผิวหนังช่วยป้องกันรังสีจากแสงแดด แต่บางส่วนผ่านเข้าไปได้ เพื่อเปลี่ยนสารเคมีที่ผิวหนัง เป็นวิตามินดี - รับรู้สัมผัส (Sensory receptor)
เพื่อตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อความร้อน ความเย็น ภาวะกดดัน และความเจ็บปวด
- ป้องกันอันตราย (Protection)
- หน้าที่สำคัญ คือ การปกป้องอวัยวะภายในใต้ชั้นผิวหนัง พร้อมกับหน้าที่อื่นๆ ดังนี้
- โครงสร้างของผิวหนัง ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนดังนี้
- ผิวหนังกำพร้า หรือผิวหนังชั้นนอก (Epidermis)
ผิวหนังชั้นนี้ไม่มีเลือด ส่วนใหญ่จะบาง ยกเว้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ประกอบด้วยชั้นต่างๆ 5 ชั้นย่อย Stratum corneum ประกอบด้วยเคอราติน ที่ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ป้องกันเซลล์ที่ยังมีชีวิต ที่อยู่ข้างใต้ไม่ให้แห้งจากการสัมผัสอากาศ Stratum lucidum เป็นชั้นผิวหนังที่ตายแล้ว ประกอบด้วย โปรตีน Eleidin มักพบเฉพาะที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า มีหน้าที่ป้องกันภาวะ sunburn จากรังสีอัลตราไวโอเลต Stratum granulosum ขบวนการตายไปของเซลล์ผิวหนังเกิดขึ้นที่ชั้นนี้ Stratum spinosum ชั้นนี้เซลล์ยึดเกาะกันแข็งแรงป้องกันการติดเชื้อโรคของผิวหนัง มีการสังเคราะห์โปรตีน มีการแบ่งตัว และเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนัง เซลล์ผิวหนังใหม่ๆ เกิดที่ชั้นนี้แลัวผลักขึ้นไปที่ผิวในชั้นบน และ Stratum basale ชั้นล่างสุดของหนังกำพร้า ต่อกับชั้นหนังแท้ มีการแบ่งเซลล์เกิดขึ้นเป็นเซลล์ใหม่ ทดแทนเซลล์ที่หลุดลอกไปในชั้นบน มีเซลล์สร้างเม็ดสีผิว (Melanocyte) สร้างเม็ดสีเมลานิน - ผิวหนังแท้ หรือผิวหนังชั้นกลาง (Dermis)
มีส่วนประกอบส่วนใหญ่ของผิวหนังเป็นชั้นที่แข็งแรง ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissues) ของคอลลาเจน อีลาสติน และ reticular fiber เรียงโยงใยเป็นร่างแห ทำให้เกิดความหนาแน่น ภายในประกอบด้วยหลอดเลือด ท่อน้ำเหลือง เส้นประสาท ต่อมไขมัน ท่อต่อมเหงื่อ เซลล์กระเปาะผม-ขน เซลล์ไขมัน, ระบบภูมิคุ้มกัน (macrophages) - ผิวหนังชั้นล่าง (Hypodermis or Subdermis)
เป็นชั้นที่อยู่ติดกับชั้นไขมัน (Adipose tissues) ประกอบด้วยเส้นใย เกาะกันหลวมๆ และหนากว่าผิวหนังแท้ ประกอบด้วยเส้นเลือด ท่อน้ำเหลือง และเส้นประสาท ท่อต่อมเหงื่อ ฐานของเซลล์ขน แยกได้ไม่ชัดเจนจากชั้นหนังแท้
- ผิวหนังกำพร้า หรือผิวหนังชั้นนอก (Epidermis)
- ผิวหนังมีกลไกรักษาความชุ่มชื้นได้อย่างไร
ความชุ่มชื้นของผิวหนังที่พอเหมาะ คือ สภาวะที่รักษาระดับน้ำให้คงอยู่ในเซลล์ผิวหนัง ระหว่างเซลล์ผิวหนังกำพร้าได้อย่างสมดุล ผิวหนังจะชุ่มชื้น ดูนุ่มเนียน เรียบไม่เป็นขุย เต่งตึง นอกจากนี้ระดับน้ำในชั้นหนังกำพร้า ยังสัมพันธ์กับระดับน้ำในชั้นหนังแท้ด้วย- ผิวหนังมีกลไกรักษาความชุ่นชื้น คือ
- เซลล์ชั้น stratum corneum
ที่เรียกว่าชั้นขี้ไคล มีไขมันหุ้มภายนอกเซลล์ ในชั้นถัดไปมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบภายในเซลล์ที่เรียกว่า เคอราติน (keratin) ทั้งสองส่วนทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เสียน้ำออกสู่ภายนอก - ไขมันจากต่อมไขมันหลั่งออกตามรูขุมขน
ช่วยเคลือบผิวของชั้นหนังกำพร้า ป้องกันไม่ให้น้ำซึมผ่านออกสู่ภายนอก นอกจากนี้การรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังตามธรรมชาติ (natural moisturizers) มีสารซึ่งส่วนใหญ่ คือ กรดอะมิโนและอนุพันธ์ (derivative) ความรู้เรื่องสารรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาตินี้ จึงนำมาพัฒนาเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดต่าง ๆ หากผิวหนังยังไม่สามารถปรับสมดุลต่ออากาศที่หนาวได้ ผิวจะเริ่มแห้ง คัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณสัมผัสกับอากาศหนาวโดยตรง เช่น แขน ขา หน้า ศีรษะ อาการคัน และเกาจนเกิดขุยลอก ทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นได้อีก อย่างไรก็ตามผิวแห้งเกิดจากสาเหตุทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ซึ่งส่งผลให้เกิดความรุนแรงของอาการได้- พันธุกรรม
เช่น โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (atopic eczema) โรคเด็กดักแด้ชนิดอ่อน (ichthyosis) เป็นความผิดปกติแต่กำเนิด ผิวแห้งและไม่สามารถรักษาน้ำไว้ในผิวหนังได้เหมือนคนปกติ จะมีอาการผิวแห้งมากและอาการจะกำเริบมากในฤดูหนาว - อายุ
ผู้สูงอายุผิวหนังชั้นนอกสุดและไขมันระหว่างเซลล์จะลดลง ทำให้เสียน้ำออกจากผิวหนังได้ง่าย ผิวจึงแห้ง - ปัจจัยแวดล้อมภายนอกร่างกาย
เช่น การเสียดสี สารเคมี เช่น แอลกอฮอล์ สารทำความสะอาดต่างๆ ทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนสุดได้รับอันตราย และแน่นอนอากาศแห้ง อากาศหนาวก็มีส่วนอย่างมาก - โรคประจำตัวของผู้ป่วยเอง เช่น โรคไตวาย โรคตับ
- พันธุกรรม
- เซลล์ชั้น stratum corneum
- ผิวหนังมีกลไกรักษาความชุ่นชื้น คือ
- การดูแลป้องกัน การดูแลผิวหน้า
1. ควรใช้ครีมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ทาผิวไม่ให้แห้ง และต้องทาทันทีหลังจากอาบน้ำ
2. การทำความสะอาดผิวควรใช้สบู่อ่อน ไม่ควรมีฟองมากเกินไป เพราะทำให้ผิวหนังกลายสภาพเป็นด่าง ทำให้ผิวหนังติดเชื้อและเกิดการแพ้ง่ายมากขึ้น
3. หลีกเลี่ยงให้ผิวถูกน้ำบ่อยๆ เพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น
4. ควรงดเว้นการใช้น้ำอุ่น น้ำร้อนในการทำความสะอาดผิว
5. ระมัดระวังยาหรือสารที่ใช้เพื่อความขาว ความใส รักษาสิว จะทำให้ผิวมีแนวโน้มแห้งมากขึ้น
6. การใส่เสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่น ปกคลุมช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นที่ผิวได้ดี
วิธีดูแลผิวหน้าให้ใส ถ้าผิวแห้งหากปล่อยทิ้งไว้นอกจากแตกลอกเป็นขุยไม่น่าดูแล้ว อาจจะคันมาก และเกาจนผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ เมื่อมีปัญหาผิวแห้งควรระมัดระวังสาเหตุอื่น ที่จะทำให้เกิดการแพ้ เช่น สารเคมี ยาหรือเครื่องสำอาง โดยเฉพาะฝุ่น ทำให้อากการรุนแรงมากขึ้นได้ โดยเฉพาะในรายที่มีแนวโน้มว่าผิวแห้งง่าย หากเกิดปัญหาดังหล่าวควรเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ผิวหนัง
2. อย่าล้างหน้าด้วยน้ำร้อนจัด
แม้ว่าน้ำร้อนจะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกได้ดี แต่เราไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำร้อนค่ะ เพราะผิวหน้าเป็นส่วนที่มีความ บอบบางกว่าส่วนอื่น และน้ำร้อนยังดึงเอาความชุ่มชื้นที่จำเป็นต่อผิวเราออกไปหมด ทำให้ผิวแห้ง หยาบกร้านกว่าเดิม ง่ายต่อการเกิดริ้วรอยตามมา อีกทั้งยังทำให้เส้นเลือดขยายตัว ทำให้หน้ามีอาการแดงขึ้นได้ น้ำที่เหมาะกับการล้างหน้ามากที่สุดก็คือ น้ำอุณหภูมิห้อง ที่ไม่ร้อนและไม่เย็นเกินไปค่ะ
3. อย่าแช่อยู่ในสระว่ายน้ำที่มีสารคลอรีนนานเกินไป
สระว่ายน้ำ ที่มีอยู่ตามโรงแรม สถานศึกษาหรือหมู่บ้านชุมชนใหญ่ ๆ มีความจำเป็นสำหรับการออกกำลังกายของผู้ชอบกีฬาว่ายน้ำ หรือไว้ใช้ฝึกซ้อมสำหรับนักกีฬาว่ายน้ำ ทำให้สระว่ายน้ำมีผู้ใช้บริการค่อนข้างมาก จึงมีโอกาสปนเปื้อนด้วยจุลินทรีย์จากร่างกายของผู้มาใช้บริการค่อนข้างมากด้วย ได้มีการนำสารประกอบคลอรีนมาใส่ในสระว่ายน้ำเพื่อฆ่าจุลินทรีย์หรือเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้งนี้ปริมาณ คลอรีน ใน สระว่ายน้ำ ที่ใช้จะมีปริมาณ 0.6 1.0 ส่วนในล้านส่วน แต่ในปัจจุบัน ผู้ดูแลสระว่ายน้ำได้นำ คลอรีน มาใส่ในปริมาณมากเกินไป หรือนำสารประกอบ คลอรีน อื่น ๆ มาใช้ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้ใช้บริการได้ง่าย
4. เลือกใช้โฟมล้างหน้าหรือใช้สบู่เด็กล้างหน้า
การล้างหน้าแบบผิดๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการล้างเท่านั้นนะ ถ้าเราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่เหมาะสม ก็ทำให้ผิวหน้าเราไม่สะอาด และผิวเสียได้เช่นกัน โฟมล้างหน้าที่เราควรเลี่ยงก็คือ โฟมล้างหน้าแบบแรงๆ ที่มีส่วนผสมของสารระคายเคือง ไม่ว่าจะเป็น น้ำหอม Parabean แอลกอฮอล์ SLS และ SLES ถ้าใช้โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมเหล่านี้ไปเรื่อยๆ ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง
5. อย่าขัดผิวบ่อยและแรงจนเกินไป
- ระวัง! การขัดผิว อาจทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว
ขั้นตอนการขัดผิว สครับหน้า เป็นวิธีเติมความสวย คงสภาพความงามที่เริ่ดที่สุดสำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามอยู่แล้วจริง ไหมคะ แต่ใครจะรู้บ้างว่า ขั้นตอนพวกนี้ นอกจากข้อดีที่คุณรู้แล้ว ยังมีข้อเสียแฝงอยู่ด้วย ข้อเสียจะเป็นเช่นไร วันนี้มีข้อมูลมาฝากค่ะ- การขัดผิว
ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า หรือผิวกาย หากขัดบ่อยๆ ผิวอาจจะหมองคล้ำ ไม่มีความสดใส เพราะผิวไม่มีอากาศหายใจได้ แถมไม่สามารถรับสารอาหารต่างๆ ที่จะเข้าไปบำรุงผิวได้ดีด้วยนะคะ หากขัดไม่ดี หรือทำไม่ถูกวิธี อาจมีอันตรายต่อผิว ทำร้ายผิวได้โดยที่คุณไม่รู้ตัวค่ะ - สครับใบหน้าตอนมีสิว
หากคุณอยู่ในช่วงที่สิวมาบุกใบหน้า หยุดคิดที่จะทำสิ่งใดๆ บนผิวหน้า โดยเฉพาะการสครับใบหน้าได้เลย เพราะใบหน้าที่เต็มไปด้วยสิว จะยิ่งทำให้เซลล์ในต่อมท่อน้ำมันมากขึ้น เป็นการเพิ่มอาหารแก่สิว และหากคุณยังฝืนทำสครับต่อไป สิวจะแตกและติดเชื้อได้ง่าย สิวบุกมาเพิ่มอีกไม่รู้ด้วยนะคะ หากสิวจู่โจมเยอะ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน จะเป็นวิธีที่ดีสุดค่ะ - ผลิตภัณฑ์เม็ดสครับยิ่งเเข็งยิ่งดี?
คิดผิดคิดใหม่ ความเชื่อที่ว่า เม็ดสครับยิ่งแข็งยิ่งดี นั่นไม่ใช่เลย ควรเลือกเม็ดสครับขนาดเล็กและละเอียด ห้ามนำเม็ดสครับชนิดสครับตัวมาสครับใบหน้าเด็ดขาด เพราะเม็ดสครับค่อนข้างแข็ง และอาจทำให้ใบหน้าโดนกระตุ้นเกินไปค่ะ
- การขัดผิว
- ทำสครับบ่อยๆ ไม่ดีอย่างที่คิด!
หลายคนคิดว่า การทำสครับหน้าบ่อยๆ เป็นเรื่องดี ทำบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัย พอไม่สครับ ก็คิดไปเองว่าใบหน้าไม่สะอาด ผิวมัน ผิวไม่ดีหน่อยก็หันกลับไปทำสครับดังเดิม แต่หารู้ไม่ว่าการทำสครับผิวบ่อยๆ อาจทำให้ผิวบาดเจ็บและโดนทำร้าย ชั้นผิวหนังบอบบาง ทำให้มองเห็นเส้นเลือดแดงชัดขึ้นค่ะ - ผิวแพ้ง่าย ควรเมินการทำสครับ
ผิวแพ้ง่ายก็มีเชล์ที่ตายลอกออกเช่นกัน เพราะฉะนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม อ่อนโยนต่อชั้นผิวหนัง และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ปัจจัยการแพ้มีหลายอย่าง สิ่งสำคัญควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่บอบบางอ่อนโยน เช่นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบ ไม่มีส่วนผสมน้ำหอม 100% ใช้จะดีที่สุดค่ะ
สรุปการขัดผิวเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ครั้งก็เพียงพอใน การดูแลผิวหน้า แล้วค่ะ
6. บำรุงผิวด้วย ครีมบำรุงผิว อย่างเป็นประจำ
- ขั้นตอนวิธีการทา ครีมบำรุงผิว หน้าผิวกายที่ถูกต้อง
ก่อนอื่น เพื่อนๆ ต้องทำความสะอาดผิวหน้า แล้วใช้ผ้าขนนุ่มๆ ซับหน้า อย่าเช็ดไปมาเพราะจะทำให้เกิดรอยเเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร- 1. การทาครีมรอบดวงตา
ใช้เนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แนะนำว่า ควรใช้นิ้วนางในการทาเท่านั้นในบริเวณนี้ เพราะน้ำหนักกดเบาที่สุดค่ะ โดยทา ครีมบำรุงผิว ไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตาจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ จากนั้นทาวนไปรอบๆ ดวงตา และควรวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง - 2. การทาครีมบนใบหน้า
วิธีดูแลผิวหน้าให้ใส ก่อนอื่น เพื่อนๆ ต้องทำความสะอาดผิวหน้า แล้วใช้ผ้าขนนุ่มๆ ซับหน้า อย่าเช็ดไปมาเพราะจะทำให้เกิดรอยเเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ปริมาณ ครีมบำรุงผิว ที่ใช้ทาบนใบหน้าแต่ละครั้งต้องให้พอเหมาะ เพราะถ้าใช้น้อยเกินไปก็จะเห็นผลช้า ทามากเกินไปก็จะทำให้หน้ามัน ควรใช้ครีมประมาณ 1 ข้อนิ้ว/การทาครีม 1 ครั้ง เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้าง และคาง
วิธีคือ ให้ใช้นิ้วกลางและนางในการเกลี่ยเนื้อครีม โดยเริ่มจากบริเวณที่กว้างสุด เช่น โหนกแก้ม เริ่มจากส่วนกลางไปยังด้านข้างๆ (ด้านซ้ายออกซ้าย ด้านขวาออกขวา) จากนั้นตามด้วยแนว สันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก ให้ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเกลี่ยโดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้างๆคือ ซ้ายออกซ้าย ขวาออกขวา จากนั้นตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก อย่าลืมเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้หน่อย (เพราะควรใช้ eye creamสำหรับรอบดวงตา)
ระหว่างทา ครีมบำรุงผิว การลงน้ำหนักนิ้วให้เบาที่สุดนะค่ะ เพราะผิวหน้านั้นแสนบอบบาง หากลงน้ำหนักแรงเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยย่นก่อนวัยอันควรได้ - 3. การทาครีมบริเวณลำคอ
อย่าลืมทา ครีมบำรุงผิว บริเวณลําคอเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะดูแปลก ๆ หากหน้าเต่งตึงแต่คอยาน ซึ่งการทาครีมที่คอนั้นให้ใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้า โดยเริ่มจากบริเวณที่กว้างที่สุดของคอก่อน คือบริเวณฐานลําคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อย ๆ ลูบไล้ขึ้น (คือ) ไม่ควรทาลงเพราะจะทําให้ผิวบริเวณลําคอหย่อน ทําให้เกิดรอยย่นภายหลังได้ - 4. การทาครีมบริเวณหน้าอก
ใช้ครีมที่เหลือจากลำคอทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไป โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง - 5. การทาครีมบริเวณแขน
ควรทาครีมที่บริเวณต้นแขนด้านท้องแขนแล้วทาวนขึ้นหลังแขน โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อให้เนื้อครีมซึมซับเข้าสู่ผิว - 6. การทาครีมบริเวณขาและเท้า
ควรเริ่มต้นที่ต้นขาแล้วค่อยวนไปที่ปลายขา เน้นบริเวณหน้าแข้งทั้งสองข้างเพราะบริเวณนี้ผิวค่อนข้างแห้งที่สุด และไม่ควรลืมทาครีมที่บริเวณเท้าทั้งสองข้างทาทั้งหลังเท้าและฝ่าเท้าพร้อมทำการนวดให้ทั่วอุ้งเท้าเพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
- 1. การทาครีมรอบดวงตา
7. บำรุงผิวด้วย เซรั่มบำรุงผิว เพื่อช่วยเก็บกักความชุ่มชื้น
- 5 เคล็ดลับการใช้ เซรั่มให้ได้ผลดีที่สุด
- 1. ล้างหน้าให้สะอาดแบบขั้นสุด
บางทีที่เราใช้ เซรั่มบำรุงผิว แล้วไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนแปลง อาจเป็นไปได้ว่าเราล้างหน้าไม่สะอาดค่ะ สิ่งสกปรกที่ค้างอยู่จะกั้นไม่ให้เนื้อเซรั่มซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เพื่อให้เนื้อเซรั่มทำงานได้อย่างเต็มที่ ควรล้างหน้าให้สะอาด ใครที่แต่งหน้าหรือทาครีมกันแดดก็ต้องอย่าลืมใช้ Cleansing หรือ Makeup Remover เช็ดออกก่อนทุกครั้งนะคะ เพื่อให้เซรั่มทำงานได้อย่างขั้นสุด ก็ต้องล้างหน้าให้สะอาดแบบขั้นสุดด้วยนะคะ - 2. ทาตอนที่ผิวยังไม่แห้งสนิท
เขาว่ากันว่าผิวที่ชุ่มชื้นจะช่วยให้ เซรั่มบำรุงผิว ซึมเข้าสู่ผิวเราได้ดีกว่าผิวแห้งได้มากกว่าถึง 10 เท่า! เพื่อให้ เซรั่ม ทำงานได้ดีที่สุด ควรทาเซรั่มบำรุงผิว หลังจากที่ล้างหน้าเสร็จใหม่ๆ ที่ช่วงที่ผิวยังชุ่มชื้นอยู่ค่ะ - 3. ใช้ให้น้อย แล้วจะได้ผลมาก
มันอาจจะดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ใช่ไหมคะว่า ใช้น้อย และจะเห็นผลมากได้อย่างไร อยากผิวสวยแต่ทาเข้าไปเยอะสิ แต่ไม่ใช่กับ เซรั่มบำรุงผิว ค่ะ เพราะว่าเซรั่มเป็นเนื้อครีมที่มีส่วนผสมที่เข้มข้น และซึมเข้าผิวได้ดีกว่าสกินแคร์ประเภทอื่น ดังนั้น ใช้แค่เท่าถั่วเม็ดลันเตาก็พอแล้วค่ะ ยิ่งใช้เยอะก็ไม่ได้มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของครีม แต่มีผลแน่ๆ กับเงินในกระเป๋าตังค์ค่ะ เพราะยิ่งใช้เยอะก็ยิ่งเปลือง - 4. ทาแล้วทิ้งไว้สักพัก ก่อนทาครีมอื่นทับ
เมื่อให้ เซรั่มบำรุงผิว ซึมเข้าสู่ผิวได้ดีที่สุด หลังจากทาเซรั่มแล้วควรเว้นช่วงก่อนทาครีมอื่นประมาณ 5 นาทีค่ะ หรืออาจไม่ต้องถึงเวลานี้ก็ได้ ถ้า เซรั่มบำรุงผิว ตัวนั้นมีความสามารถในการซึมซาบเข้าสู่ผิวได้เร็ว ไม่เหนอะหนะ - 5. หลีกเลี่ยงเซรั่มที่มีส่วนผสมของสีสังเคราะห์และน้ำหอม
แม้ว่า เซรั่มบำรุงผิว ที่มีสี มีกลิ่น มันชวนให้เรารู้สึกอยากใช้เหลือเกิน เพราะมันมีทั้งสีสันที่สวยงาม และกลิ่นที่ผ่อนคลายเวลาทาสู่ผิว แต่เพื่อให้ได้ เซรั่ม ที่ดี ควรโฟกัสที่ส่วนผสมที่แก้ปัญหาผิวเรา แทนที่จะมองเรื่องกลิ่นหรือสี เพราะสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้ช่วยให้ผิวเราดีขึ้น แถมยังทำให้เกิดการระคายเคืองได้ด้วยค่ะ
- 1. ล้างหน้าให้สะอาดแบบขั้นสุด
นี่ก็คือเคล็ดลับการใช้เซรั่ม การดูแลผิวหน้า ยังไงให้ได้ผลดีสุด การเลือกเซรั่ม วิธีดูแลผิวหน้าให้ใส ที่ดีก็เป็นอีกเคล็ดลับหนึ่ง แต่การใช้ให้ถูกวิธีก็เป็นอีกเคล็ดลับที่ไม่ควรมองข้าม เพราะยิ่งใช้ถูกทาง ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพกับผิวเราได้มากขึ้นเท่านั้น
8. ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อบำรุงผิวไม่ให้แห้งกร้าน
9. ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
สรุป ลดริ้วรอย
วิธีดูแลผิวหน้าให้ใส เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งแตกระแหงจนใบหน้าหมดสวย อย่าลืมทำตามคำแนะนำของเราด้วยนะคะ