Skincare ที่เหมาะกับผู้หญิงวัย 40+ เป็นแบบไหน?

ริ้วรอย : วัย 40 บวก เป็นวัยที่ค่อนข้างพิเศษ เพราะสาว ๆ ในวัยช่วงนี้กำลังเจอกับความท้าทายไม่ให้กาลเวลาทำร้ายผิวไปกว่าเดิม และผิวในช่วงวัย 40 อัพ ก็ค่อนข้างเป็นผิวที่มีปัญหาและบอบบางง่าย เนื่องจากผิวที่เสื่อมไปตามวัย เรามาดูกันดีกว่าว่ามี Skincare แบบไหนบ้างที่สาว ๆ ต้องใช้

สารบัญเนื้อหา

1. ครีมบำรุงผิวป้องกัน ริ้วรอย
2. เซรั่มบำรุงผิวรอบดวงตา
3. ครีมฟื้นฟูผิว
4. ครีมกันแดด

วิธี การ ดูแล ผิว

 

1. ครีมบำรุงผิว ป้องกัน ริ้วรอย

เป็นไอเท็มที่ย้ำเลยว่าต้องใช้ทุกวันเช้าเย็น เพราะช่วยแก้ไขปัญหาผิวแห้งกร้านได้

  • ทา ครีมบำรุงผิว อย่างไร ให้ถูกวิธี
    เรื่องของการบำรุงผิว ไม่ใช่เรื่องพื้นๆ อย่างที่เราคิดกันนะคะ สาวๆ อาจจะมองว่าก็แค่ทาครีม มอยส์เจอไรเซอร์ แค่นี้ก็บำรุงผิวแล้วไง แต่เรื่องง่ายๆ นี่ล่ะค่ะ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าเราทำถูกต้องตามวิธีหรือเปล่า เพราะหากเราทำผิดวิธีหรือข้ามขั้นตอนที่ถูกต้องไป จากที่จะสวยด้วยการบำรุงผิว อาจจะกลายเป็นหน้าเยินเพราะทำร้ายตัวเองด้วยการบำรุงแบบผิดๆ ก็ได้นะคะ
    โดยตอนนี้เราจะนำเสนอสาวๆ ในเรื่องของการบำรุงผิวหน้ากันก่อนค่ะ เริ่มจากการทาครีมซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการบำรุงผิวต่อจากขั้นตอนการทำความสะอาด เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะบำรุงให้ผิวเราแข็งแรง สดใส เรียกได้ว่าถ้าผิวใสจากภายในแล้วล่ะก็ เราอาจจะไม่ต้องง้อเมคอัพอีกต่อไปเลยก็ได้

    • ทา ครีมบำรุง บนใบหน้า ทาอย่างไร?
      ในการบำรุงหน้าด้วยการทาครีมค่อนข้างมีลำดับการทาครีมที่ซับซ้อนสักนิด โดยลำดับที่ถูกต้องจะต้องเริ่มจากผลิตภัณฑ์ที่เนื้อเหลวที่สุดไปจนถึงเนื้อข้นที่สุด เช่น หากมี โทนเนอร์ เอสเซนต์ เซรั่ม อิมันชั่น โลชั่น และครีม ที่ต้องทาแบบจัดเต็ม จะต้องเรียงลำดับดังนี้

      • โทนเนอร์เพื่อเคลียร์ผิวรอบสุดท้ายก่อนรองรับการบำรุงและกระชับรูขุมขน
      • เซรั่ม/เอสเซนต์ แล้วแต่ว่าแบรนด์ไหนจะเลือกใช้คำว่าอะไรเพราะทั้งสองตัวนี้เหมือนกันค่ะ คือเป็นสารบำรุงที่มีความเบาบางมากกว่ามอยส์เจอไรเซอร์
      • ตามด้วยอิมัลชั่น / โลชั่น / ครีม เลือกเพียง 1 ตัวเท่านั้นตามสภาพผิวค่ะ ผิวแห้งใช้ครีมเพื่อเก็บกักความชุ่มชื้น ได้มากกว่า น้ำมันก็มากตามไปด้วย ส่วนโลชั่นเนื้อเบากว่าเหมาะสำหรับผิวผสม ส่วนอิมัลชั่น เป็นตัวบำรุงที่เบาบางที่สุดเหมาะกับผิวมันเพื่อให้ความชุ่มชื้นแต่ไม่ให้เกิดความมันมากเกินไป
      • กรณีที่หน้าเยินจนต้องไปหาหมอ ให้จัดยาก่อนเป็นอันดับแรก ทาหลังทำความสะอาดตามขั้นตอนเสร็จค่ะ
      • การทาครีมก่อนแต่งหน้าเมื่อลงขั้นตอนบำรุงผิวครบแล้ว อย่าลืมตามด้วยครีมกันแดดเสมอนะคะ แม้ว่าครีมรองพื้นหรือ ครีม BB ที่ใช้จะมีส่วนผสมของสารกันแดดก็ตาม แต่สำหรับปริมาณความแรงของแสงแดดบ้านเรา รับรองได้ว่าไม่เพียงพอแน่ ๆ ค่ะ
    • ทา ครีมบำรุงผิว ทาแค่ไหน?
      ปริมาณในการทาครีมก็สำคัญ เพราะหากทาน้อยเกินไป การได้รับการบำรุงก็จะไม่เพียงพอ พาลจะไปโทษครีมบำรุงว่าไม่ดี แต่จริงๆ แล้วคุณอาจจะทาในปริมาณที่น้อยเกินไปหรือเปล่า หรือบางครั้งก็โหมโบ๊ะจนสิวอุดตันถามหา อันนั้นก็โลภไปนิด ว่าแล้วเรามาดูปริมาณที่ถูกต้องกันดีกว่า

      • ทาครีมบำรุงควรใช้ไม่เกิน “หนึ่งข้อนิ้ว” เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าเป็นครีมเนื้อข้นก็จ้วงลงไปไม่เกินข้อนิ้วชี้ค่ะ เป็นค่ามาตรฐานรวมๆ ถ้าสาวคนไหนหน้าเล็กก็ทาคอเผื่อไปด้วยค่ะ อย่าให้เสียของถ้าเป็นครีมเนื้อเหลวก็เทปริมาณไม่เกินเหรียญบาทค่ะ หรือเอาข้อนี้วเราเทียบเป็นเส้นผ่าศูนย์กลางของบริมาณครีมเมื่อเทียบเป็นวงกลมก็ได้ค่ะ
      • ครีมทารอบดวงตาใช้เพียง 1 เม็ดถั่วเขียวค่ะ และต้องทาแบบพิเศษนิดหนึ่งคือเบามือแบบสุดๆ เพราะผิวรอบๆดวงตานั้นบอบบางมาก แนะนำให้ทาด้วยปลายนิ้วนางค่ะ เพราะนิ้วนี้มีแรงกดน้อยที่สุด สาวคนไหนยังทาถูๆ เหมือนผิวส่วนอื่นระวังริ้วรอยถามหาเอาได้นะจ๊ะ
      • ทาครีมที่คอก็สำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นนะคะ เพราะผิวตรงนี้แสดงริ้วรอยแห่งวัยได้ไม่ต่างจากใบหน้าเลยทีเดียว เคล็ดลับในการทาที่คอง่ายๆ คือให้ใช้นิ้วทุกนิ้วยกเว้นนิ้วโป้งลูบครีมขึ้นเพื่อให้ลำคอเต่งตึง และการลูบลงจะทำให้ลำคอเหี่ยวย่นได้
      • เพราะเรื่องของการบำรุงผิว ใม่ใช่เรื่องเล็กๆ ดังนั้นเราจะมาบอกเล่าเรื่องราวและเคล็ดลับดีๆ ต่อกันอีกในครั้งหน้าค่ะ คร่าวนี้จะจัดหนักจัดเต็มทั้งในเรื่องของการบำรุงผิวหน้าและการบำรุงผิวกายในส่วนอื่นๆ ด้วยค่ะ

2. เซรั่มบำรุงผิว รอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตาสำหรับวัยนี้เริ่มเห็นชัดขึ้น การใช้เซรั่มช่วยฟื้นฟูผิวให้ ลดริ้วรอย ลดลงและป้องกันริ้วรอยที่เกิดขึ้นใหม่ได้

  • 5 เรื่องการใช้อายครีม ที่ช่วยให้ได้ผลมากขึ้น
    อายครีมเป็นอีกหนึ่งสกินแคร์ที่เชี่ยวชาญด้านความสวยความงามแนะนำให้ใช้กัน แต่จะใช้อายครีมทำไมและใช้อายครีมยังไง นี่เป็น 5 เรื่องเกี่ยวกับอายครีมที่ควรรู้ค่ะ

    • ทำไมต้องใช้อายครีม
      ดวงตาเป็นจุดที่มีผิวอ่อนไหวง่ายและละเอียดอ่อนที่สุดบนใบหน้านะคะ แถมดวงตายังมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาจากการกระพริบตา จึงทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่น แสงแดดและการนอนดึกยังทำให้รอบดวงตาเกิดความหมองคล้ำได้อีกด้วยนะคะ
      และเนื่องจากเหตุผลข้างต้น หลายคนก็เกิดความคิดว่า เราไม่ใช้อายครีมแล้วไปใช้ครีมอื่นในการบำรุงดวงตาได้ไหม? เป็นเรื่องที่ใช้ได้แต่บำรุงไม่ดีเท่ากับการใช้อายครีมโดยตรงค่ะ เพราะเรื่องของความชุ่มชื้นและการลดรอยคล้ำ รวมถึงคุณสมบัติการป้องกันการเกิดริ้วรอยที่ดวงตาต้องการมากกว่าส่วนอื่นของใบหน้า ดังนั้น หากอยากบำรุงดวงตาให้ดูสดใสอ่อนเยาว์ควรเลือกใช้อายครีมดีกว่าค่า
    • ประเภทของอายครีม
      อายครีมมีหลากหลายประเภทให้เลือกใช้นะคะ มีทั้งแบบครีม, แบบเจล, แบบโลชั่น และแบบเซรั่ม เวลาจะเลือกซื้อ ลองเลือกให้เข้ากับผิวจะดีกว่านะคะ เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุดกันค่ะ
    • ใช้อายครีมตอนไหน
      อายครีมทาได้ทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนนะคะ โดยตอนเช้าเลือกใช้เป็นอายครีมที่มีเนื้อบางเบาจะช่วยให้ซึมเข้าผิวได้ดีขึ้น และทาอายครีมก่อนลงครีมอื่นๆ และทาก่อนแต่งหน้าด้วยนะคะ จากนั้นตอนกลางคืน หลังล้างหน้าสะอาดแล้วก็ทาอายครีมก่อนนอน ง่ายๆ เท่านี้เองค่า
    • ใช้อายครีมขนาดเท่าไหร่
      ปริมาณการทาอายครีมที่แนะนำจะอยู่ที่ขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว หรือขนาดเล็กๆ ไม่เยอะมากนะคะ ไม่เน้นใช้เยอะยิ่งดีนะคะ เพราะผิวรอบดวงตาเราดูดซึมครีมได้จำกัดค่า
    • วิธีทาอายครีมที่ถูกต้อง
      ไม่ทาแรงๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวรอบดวงตาช้ำได้ง่าย ใช้ปลายนิ้วกลางเกลี่ยเบาๆ และไม่ทาอายครีมชิดริมขนตานะคะ เพราะจะยิ่งทำให้ดวงตาบวมได้ง่าย ให้ทาห่างจากแนวขนตา เพื่อเว้นพื้นที่ให้ผิวได้ซึมเนื้อครีมกันค่ะ
      เรื่องน่ารู้ที่ช่วยให้ใช้อายครีมได้ผลดียิ่งขึ้นง่ายขนาดนี้ ใครที่เป็นสาวรักสวยรักงามอยากดูแลตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์สดใสตลอดเวลา ก็ลองนำไปใช้กันดูได้นะคะ ไม่ยากเลยค่า

3. ครีมฟื้นฟูผิว

ครีมฟื้นฟูผิวเฉพาะจุดเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นครีมช่วยฟื้นฟู ยกกระชับผิวร่องแก้ม หน้าผาก ดวงตา และ ลดริ้วรอย

4. ครีมกันแดด

เพราะผิวในวัยนี้อ่อนแอลง การใช้ครีมกันแดดช่วยป้องกันผิวไม่ให้เสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • รู้จักใช้และเข้าใจ ครีมกันแดด
  • รู้จักใช้และเข้าใจ ครีมกันแดด (Woman Plus)
    ทุกวันนี้แดดก็ยังคงแรงอย่างต่อเนื่องนะคะ แล้วยิ่งแสงแดดเป็นตัวการทำลายผิวที่สำคัญ ทำให้เกิดผิวหนังไหม้ คล้ำ เกิดกระ ฝ้า หรือรอยเหี่ยวย่น และอาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วย น่ากลัวสุด ๆ จะออกจากบ้านทีนึงก็ไม่รู้จะหาอะไรมาป้องกัน หมวกก็แล้ว ร่มก็แล้ว ทาครีมกันแดดก็แล้ว แต่เอ๊ะ ! สาว ๆ คะ ครีมกันแดดที่สาว ๆ ทาอยู่เป็นประจำนั้น เลือกได้เหมาะสมและวิธีการทาที่ถูกต้องรึยังนะ
  • เรามารู้วิธีการทำงานของครีมกันแดดกันก่อน
    ส่วนผสมในครีมกันแดดจะทำหน้าที่ในการปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการดูดซับรังสี ป้องกันแสง UV ไม่ให้ผ่านเข้าไปถึงชั้นผิว หรือทำให้รังสี UV แตกกระจายออกไปเพื่อไม่ให้เข้าทำร้ายผิวโดยตรง สำหรับคำแนะนำในการใช้ครีมกันแดด ครีมกันแดดที่ดีที่สุด คือครีมกันแดดที่สามารถที่จะป้องกันแสง UV ได้เพียงพอ สำหรับรังสี UV ก็แบ่งได้เป็น

    • รังสีจาก UV-A จะทำให้ผิวแก่ก่อนวัย หน้าคล้ำได้ ฉะนั้นเวลาไปทะเล แล้วผิวคล้ำเกิดจาก UV-A
    • รังสีจาก UV-B Burning คือผิวไหม้แดด เกรียมแดด อย่างกรณีไปอาบแดด แล้วผิวไหม้ ผิวเกรียม เกิดจาก UV-B
    • ฉะนั้นจึงต้องมีครีมกันแดดป้องกันทั้ง 2 อย่าง ทั้ง UV-A และ UV-B
  • แล้ว SPF คืออะไร
    SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor โดยค่าของการปกป้องแสงแดด ถูกกำหนดด้วยระบบของ SPF เอง โดยส่วนใหญ่จะคำนวณจากปริมาณจากการป้องกันรังสี UVB ตัวเลขของ SPF บ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากการถูกเผาไหม้จากแสงแดด ได้นานเท่าไหร่ เช่น SPF15 หมายถึง ป้องกันผิวจากการไหม้ได้ 15 เท่า เช่น ปกติคุณออกไปสู่แดดโดยไม่ได้ทาครีมกันแดดแล้วผิวไหม้ภายใน 20 นาที ถ้าหากทาครีมกันแดด SPF 15 แล้วจะทำให้การที่ผิวจะถูกแสดงแดดทำลายผิวให้ไหม้นั้น ต้องใช้เวลาเป็น 15 เท่าของ 20 นาที หรือประมาณ 300 นาที (5 ชั่วโมง) ผิวถึงจะถูกไหม้จากแสงแดด
    ค่า SPF สูง ๆ นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะปกป้องแสงแดดได้ดีไปกว่า ค่า SPF ที่ต่ำกว่า ในความเป็นจริงแล้ว ค่า SPF สูง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย และยังเป็นไปได้ว่าอาจจะมีผลข้างเคียงที่อาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้เช่นอาจจะเกิดผดผื่นคันได้ นอกจากนี้ยังอาจจะทำให้สีผิวของเราไม่สม่ำเสมอ เกิดรอยด่างขึ้นได้ และยังอาจจะทำให้เสื้อผ้าเป็นคราบสีเหลืองติดเสื้อผ้าอีกด้วย
  • แล้ว PA คืออะไร
    ครีมกันแดดใหม่ ๆ ที่วางขายกันในตลาดมักประกอบไปด้วย UVA Filter และค่าที่วัดการป้องกันรังสี UVA เรียกว่า PA โดย PA ย่อมาจากคำว่า Protection Grade of UVA ในขณะนี้ยังไม่มีหน่วยวัดที่เป็นมาตรฐานในการวัดค่าการดูดซืมของรังสี UVA ดังนั้นจึงถือเอาคำว่า PA เป็นหน่วยวัดรังสี UVA อย่างไม่เป็นทางการ ค่า PA นั้นจะมี 3 ระดับคือ PA+,PA++ และ PA+++ฃ

    • PA+++ นั้นสำหรับผู้ที่ต้องการการปกป้องสูง (เจอกับแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน)
    • PA+ สำหรับผู้ที่ต้องการปกแสงแดด จากกิจกรรมทั่ว ๆ ไป (อาจจะไม่ได้เจอกับแสงมากนัก)
    • ดังนั้นสำหรับใครที่จะต้องเจอกับแสงแดดเป็นเวลาหลายชั่วโมง ให้เลือก PA++ หรือ สูงกว่านี้
  • จะซื้อครีมกันแดดต้องพิจารณาอะไรบ้าง
    ในปัจจุบันมีครีมกันแดดให้เลือกซื้ออย่างมากมายในท้องตลาด การเลือกครีมกันแดดที่ดีจะต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดด โดยดูจากค่า SPF (sun protection factor) ซึ่งก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจก่อนว่ารังสียูวีในแดดมีอยู่ 2 ชนิด คือ UVA ซึ่งเป็นรังสีที่มีอยู่ตลอดทั้งวันตั้งแต่เริ่มมีแสงไปจนถึงพระอาทิตย์ตก และเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ เมื่ออายุมากขึ้น ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ออกไปตากแดด แต่หากนั่งทำงานริมหน้าต่าง ก็มีโอกาสได้รับรังสี UVA ได้ รังสีอีกชนิดคือ UVB ซึ่งเป็นสาเหตุของผิวไหม้แดดและหมองคล้ำ สามารถส่งผลให้เห็นได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง
    โดยทั่วไปแล้ว การทาครีมที่มี SPF จะสามารถปกป้องได้เฉพาะรังสี UVB เท่านั้น แต่ไม่สามารถป้องกันรังสี UVA ที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้ การเลือกซื้อครีมกันแดดที่ดีจะต้องเลือกชนิดที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB โดยสังเกตจากข้อมูลที่ระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์
    นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่มักมีคำถามเกี่ยวกับการเลือก SPF ว่าสูงหรือต่ำจึงจะดีกว่ากัน ในความเป็นจริงแล้ว SPF ที่มากกว่า 30 ขึ้นไป ให้ฤทธิ์ของการปกป้องแสงแดดแตกต่างกันน้อยมาก โดย SPF 15 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ 93% SPF 30 ป้องกันได้ 97% ในขณะที่ SPF มากกว่า 50 ป้องกันได้ 98% ซึ่งแตกต่างกันเพียง 1% จึงอาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูง ๆ
  • ความเข้ากันได้และเหมาะสมกับสภาพผิว
    ครีมกันแดดที่ดีจะต้องเข้าได้กับสภาพผิวหน้าของเรา สามารถกระจายได้ดี ไม่ทำให้เกิดคราบ ครีมกันแดดในปัจจุบันมีในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อครีม เจล หรือโลชั่น ซึ่งจะเหมาะกับคนที่มีสภาพผิวต่าง ๆ กัน เช่น คนผิวมันควรเลือกชนิดที่เป็นเจลหรือโลชั่น เป็นต้น
  • การเลือกใช้ครีมกันแดด
    • ใช้ครีมกันแดดทุกวัน ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก เพราะรังสียูวีสามารถผ่านเมฆ และลงมือทำร้ายผิวของคุณได้แม้วันที่ไม่มีแสงแดด
    • โยนครีมกันแดดหลอดเก่าทิ้งไปและซื้อครีมกันแดดหลอดใหม่ เพราะครีมกันแดดมีอายุการใช้งานได้เพียง 1 ปีหลังจากเปิดใช้
    • ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อยที่สุดเท่ากับ 15 ในวันธรรมดา และควรใช้ SPF ที่มีค่าตั้งแต่ 30 ขึ้นไป ในวันที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง สำหรับเด็กอายุมากกว่า 6 เดือน ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ทารกที่อายุน้อยกว่านี้ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด
    • ควรทาครีมกันแดดให้เพียงพอกับขนาดของร่างกาย อย่าขี้เหนียวครีมกันแดด (โดยปกติสำหรับผู้ใหญ่ควรทาอย่างน้อย 30 ซีซี) และสิ่งสำคัญคือห้ามลืมทาบริเวณที่ถูกแสงแดดเผาไหม้ได้ง่าย เช่น จมูกหรือหลังเท้า
    • ควรทาครีมกันแดดอย่างน้อย 20-30 นาทีก่อนออกไปสัมผัสกับแสงแดดเพราะครีมจะได้ซึมเข้าสู่ผิว และควรทาซ้ำทุก ๆ 90 นาที ถึง 2 ชั่วโมง เมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง แต่ถ้ามีเหงื่อออกหรือเพิ่งขึ้นจากน้ำควรรีบทาซ้ำทันที
    • ควรใช้ครีมกันแดดชนิดกันน้ำ สำหรับการออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ และให้พิจารณาฉลากข้างกล่อง ถ้าเขียนว่า “waterproof” จะสามารถปกป้องผิวได้ประมาณ 80 นาที แต่ถ้าเขียนว่า “water resistant” จะปกป้องผิวได้ประมาณ 40 นาที สิ่งที่ควรรู้อีกประการคือ ผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดฉีดพ่น (สเปรย์) จะถูกน้ำล้างออกได้ง่าย และรวดเร็วกว่าชนิดครีมหรือโลชั่น
      และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คุณยังสามารถปกป้องผิวของคุณได้ด้วยการสวมเสื้อผ้ามิดชิด สวมหมวกใบใหญ่ และสวมแว่นกันแดด เพื่อลดการสัมผัสกับรังสียูวี เพียงเท่านี้ผิวของคุณก็ได้รับการปกป้องและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วยค่ะ

วิธี บำรุง ผิว

สรุป ริ้วรอย

สาว ๆ วัย 40 อัพ อย่าลืมใช้ Skincare ที่เราแนะนำ วิธี ลด ริ้ว รอย บน ใบหน้า รับรองว่าช่วยเก็บความอ่อนเยาว์ และ ลดริ้วรอย ให้อยู่กับเราได้อย่างยาวนานแน่นอน